อธิบาย "ปมในจิตใจ" ทฤษฎีโพลีเวกัล

5 กุมภาพันธ์ 2025

สมองไม่ได้ปกป้องแค่ร่างกาย แต่มันยังปกป้องจิตใจของเราด้วยครับ

วันนี้ผมอยากแชร์เรื่องของ 'ปมในจิตใจหรือบาดแผลในใจ' ผ่านมุมมองของ "ทฤษฎีโพลีเวกัล - Polyvagal Theory" ซึ่งใช้อธิบายการทำงานของระบบประสาทและสามารถเชื่อมโยมกับจิตใจมนุษย์อย่างน่าสนใจครับ


ทฤษฎีโพลีเวกัลถูกพัฒนาโดย Dr. Stephen Porges ในปี 1994 เพื่อศึกษาการทำงานของระบบประสาทอัตโนมัติ ว่ามีบทบาทอย่างไรต่อพฤติกรรมของมนุษย์ แต่ต่อมาได้ถูกนำมาใช้ในการอธิบายกระบวนการทางจิตวิทยาและการบาดแผลทางใจ (Trauma) รวมไปถึงถูกปรับใช้ในการทำบำบัดอีกด้วยครับ

ทฤษฎีโพลีเวกัลแบ่งการตอบสนองของระบบประสาทออกเป็น 3 โหมดหลัก:

1. Ventral Vagal System (โหมดความปลอดภัยและสังคม - Safe & Social Mode)

  • ทำงานเมื่อเรารู้สึก ปลอดภัย
  • ร่างกายของเราสงบ กล้ามเนื้อผ่อนคลาย เชื่อมโยงกับผู้อื่น และควบคุมอารมณ์ของตัวเองได้
  • เปรียบเหมือนไฟเขียว → เราสามารถเดินหน้าใช้ชีวิตได้อย่างราบรื่น

2. Sympathetic Nervous System (โหมดสู้หรือหนี - Fight or Flight Mode)

  • ทำงานเมื่อ สมองของเราตรวจจับว่ามีภัยคุกคาม
  • ทำให้เรารู้สึก เครียด ตื่นตัว และพร้อมต่อสู้หรือหนี
  • เปรียบเหมือนไฟเหลือง → สมองกำลังเตือนว่า "ระวัง!" และเตรียมให้เราเลือก "สู้ หรือ หนี"

3. Dorsal Vagal System (โหมดหยุดนิ่ง/ปิดตัวเอง - Freeze/Shut Down Mode)

  • เมื่อสมองรับรู้ว่า "ไม่มีทางสู้ ไม่มีทางหนี"
  • ทำให้ร่างกายเข้าสู่โหมดพลังงานต่ำ ซึ่งอาจทำให้คนรู้สึกเฉยชา ขาดแรงจูงใจ หรือแยกตัวจากโลกภายนอก
  • เปรียบเหมือนไฟแดง → สมองบอกว่า "หยุด!" หยุดเชื่อมโยงความรู้สึก เพื่อหลีกเลี่ยงความเจ็บปวด


สรุปง่าย ๆ:

ถ้ารู้สึกปลอดภัย → Ventral Vagal (สงบ เชื่อมโยงกับผู้อื่นได้ดี)

ถ้ารู้สึกว่ามีอันตราย → Fight or Flight (ร่างกายเตรียมสู้หรือหนี)

ถ้ารู้สึกว่าหนีไม่ได้ สู้ก็ไม่ได้ → Shutdown (ร่างกายปิดตัวเองเพื่อป้องกันความเจ็บปวด)


บาดแผลทางจิตใจ (trauma) กับทฤษฎีโพลีเวกัลเชื่อมโยงกันอย่างไร?

โดยปกติ ระบบประสาทสามารถเปลี่ยนจากโหมดหนึ่งไปอีกโหมดได้ตามสถานการณ์ เช่น

  • ถ้าเราเจอเรื่องเครียด → ระบบ Fight or Flight ทำงาน
  • ถ้าอันตรายหมดไป → ระบบ Safe & Social จะดึงเรากลับสู่ภาวะปกติ


แต่สำหรับคนที่มีบาดแผลทางจิตใจ ระบบประสาทมักจะติดอยู่ในโหมดป้องกันตัว แม้ว่าอันตรายนั้นจะจบไปแล้วก็ตาม ส่งผลให้บาดแผลนั้นไม่ใช่แค่ "เหตุการณ์ในอดีต" แต่มันคือสิ่งที่ร่างกายยังคงคิดว่ากำลังเกิดขึ้น เช่น

  • คนที่ติดอยู่ในโหมด Fight or Flight: มักรู้สึกวิตกกังวล กระวนกระวาย ระวังตัวตลอดเวลา ร่างกายตื่นตัวเสมอ หัวใจเต้นเร็ว เหมือนพร้อมจะสู้หรือหนีตลอดเวลา

ในบางรายอาจรุนแรงจนพัฒนาไปเป็นโรควิตกกังวลอย่างเช่น แพนิค ได้ครับ

  • คนที่ติดอยู่ในโหมด Freeze/Shut Down: อาจรู้สึกเหมือนถูกตัดขาดจากอารมณ์ของตัวเอง หรือรู้สึกว่าตัวเองแยกออกจากความเป็นจริง เนื่องจากสมองยังรับรู้ว่าการ "รู้สึก" มันอันตรายเกินไปและอาจจะกลับไปเจ็บปวดอีกครั้ง

ในความคิดเห็นส่วนตัวของผม 'บาดแผลในใจเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนมาก' และเป็นงานที่จิตแพทย์อย่างผมต้องพบเจออยู่เป็นประจำ แต่ผมคงไม่กล้าพูดว่าผมเข้าใจความรู้สึกทุกคนหรอกครับ แต่สิ่งที่ผมพอจะยืนยันได้เลย คือ บาดแผลในใจสามารถเยียวยาได้จริงครับ

หลายเคสที่ผมเคยพูดคุยสามารถก้าวผ่านเรื่องราวเหล่านี้และใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุขมากขึ้น และในหลายเคสก็ไม่จำเป็นต้องก้าวผ่านแต่สามารถใช้ชีวิตอยู่กับมันได้อย่างไม่ทุกข์ใจครับ


สุดท้ายนี้หวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์กับทุกคนนะครับ

หมอวอป ณัฎฐชัย (จิตแพทย์)

------------------------


แหล่งที่มา:

Porges SW. Polyvagal Theory: A Science of Safety. Frontiers in Integrative Neuroscience. 2022;16.

Haeyen S (2024) A theoretical exploration of polyvagal theory in creative arts and psychomotor therapies for emotion regulation in stress and trauma. Front. Psychol. 15:1382007. doi: 10.3389/fpsyg.2024.1382007

https://integratedlistening.com/team/stephen-porges-phd/

Google+
Line

บทความล่าสุด

การเติบโตเริ่มต้นจากการเข้าใจตัวเอง ค้นพบศักยภาพที่ซ่อนอยู่ สำรวจจิตใจ อารมณ์และความคิดผ่านมุมมองทางจิตวิทยา มาร่วมเดินทางแห่งการเรียนรู้ พัฒนา และเติบโตไปด้วยกันกับ wLife

ติดต่อเรา

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมที่ Line: @454lrxza pn.wellbeing.th@gmail.com
089-6435966
social-icon
social-icon

© 2025 https://www.w-lifeacademy.com/admin